บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

12 กันยายน 2554

เคล็ดลับฟื้นฟูให้ผมเสียกลับมาสวย (ไอเอ็นเอ็น)




·       เปลี่ยนผมเสียให้กลับเป็นผมสวย ใครที่รู้ตัวว่าผมเสีย วันนี้มีวิธีฟื้นฟูให้กลับมาสวยดังเดิม มาฝากกันค่ะ
·       ทุกเช้าหลังตื่นนอน ใช้ปลายนิ้วมือสางผมอย่างอ่อนโยน ป้องกันปัญหาผมพันกัน
·       ก่อนสระผม ใช้แปรงไม้แปรงผมอย่างเบามือ เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดผมอยู่หลุดออก เพื่อความนุ่มสวยของผมก็อาจจะใช้น้ำมันมะกอกชโลมที่เส้นผม แล้วใช้มือสางให้ทั่วหมักทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนสระ
·       เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผมที่เหมาะกับสภาพผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้
·       หมั่นบำรุงผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอไรเซอร์เข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปให้แก่เส้นผม หลีกเลี่ยงการใส่ครีมนวดบริเวณโคนผม เพราะจะทำให้หนังศีรษะมัน
·       อย่าเกาศีรษะหรือขยี้ผมแรงๆ ระหว่างสระควรใช้ปลายนิ้วมือนวดบำรุงหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และป้องกันหนังศีรษะเป็นแผลหรือเกิดรังแคได้
·       ผมเปียกจะอ่อนแอเป็นพิเศษ หลังสระจึงไม่ควรขยี้ผมหรือแปรงผมแรง ๆ แต่ถ้าจะแปรงให้ก้มหัวลงและใช้หวีแปรงที่โคนผมจนถึงปลายผม เพื่อกระตุ้นหนังศีรษะ
·       หากมีเวลาควรปล่อยให้ผมแห้งเองด้วยการใช้พัดลม หลีกเลี่ยงการไดร์ หนีบ หรือม้วนผมด้วยความร้อนสูงๆ
·       รับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี 6 แมกนีเซียม สังกะสี เพื่อบำรุงเส้นผม เช่น เนื้อ ตับ ไต ข้าวซ้อมมือ กล้วย ลูกพรุน ลูกเกด ถั่ว นมและผัก
·       หมั่นเล็มปลายผมทุก 8-10 สัปดาห์ ปิดท้ายด้วยการหลีกเลี่ยงการรัดผม มัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นเพื่อลดความเครียดและป้องกันปัญหาศีรษะล้านได้
·       วิธีแปรงผมที่ถูกต้อง ให้แบ่งผมเป็นส่วนๆ ค่อยๆ หวีผมทีละส่วนด้วยหวีไม้ซี่ห่างๆ หลีกเลี่ยงหวีพลาสติกที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต เริ่มแปรงผมจากด้านในมาด้านนอก แปรงผมอย่างอ่อนโยนจากบนลงล่าง

4 กันยายน 2554

เคล็ดลับ : ช๊อกโกแล๊ตกับวันวาเลนไทน์


             ในวันวาเลนไทน์ที่ประเทศญี่ปุ่น ฝ่ายหญิงนิยม ที่จะมอบชอคโกแลตให้กับฝ่ายชาย (ส่วนผู้ชายจะมอบ ของขวัญ ตอบแทนให้กับผู้หญิงในวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเรียกวันนั้นว่า White Day หรือ วันสีขาว) ความนิยม การมอบชอคโกแลตนั้น เกิดขึ้นมาจากการ ใช้เครื่องมือ ทางการตลาด ของบริษัทผลิตชอคโกแลต ผู้หญิงญี่ปุ่น ถูกกระตุ้นให้บอกรัก อย่างชัดเจน กับผู้ชาย โดยการมอบ ชอคโกแลต และของขวัญชนิดอื่นในวันที่ 14 กุมภา ของทุกปี
                ร้านขายของชำ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ จะขายชอคโกแลตที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ชอคโกแลตที่ ผลิตในประเทศ หรือนำเข้ามาจาก ต่างประเทศ มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายชอคโกแลตทั้งปีนั้น จะมาจากช่วงวันวาเลนไทน์ เหตุก็เพราะ ผู้หญิงแดนอาทิตย์อุทัย จะซื้อชอคโกแลต เพื่อแจกให้กับ ทั้งเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เพื่อนชาย พี่ชาย คุณพ่อ สามี แฟน และผู้ชายที่เธอรู้จัก และมีความยินดีที่จะมอบให้ ชอคโกแลตที่มอบให้กับ ผู้ชายที่เธอไม่ได้หลงรัก ถูกเรียกว่า “giri-choco” (แปลว่า ชอคโกแลตที่ให้ตามหน้าที่ หรือ ชอคโกแลตตามมารยาท) เช่น ชอคโกแลตที่มอบให้กับเพื่อนร่วมงาน หรือกับหัวหน้างานเป็นต้น ผู้ชายส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอายอย่างมาก ถ้าพวกเขาไม่ได้รับชอคโกแลตในวันนี้ ผู้หญิงจึงพยายามมอบ giri-choco กับผู้ชายที่รู้จักทุกคน เพียงเพื่อไม่ให้ผู้ชาย ต้องมีความรู้สึกว่าตัวเขานั้น ไม่ได้รับการใส่ใจ ราคาโดยเฉลี่ยของ giri-choco ตกประมาณอันละ 100300 เยน
 ผู้หญิงบางกลุ่มมีแนวโน้ม ที่จะให้ของขวัญพิเศษกับคนที่ตนรัก เช่น เนคไทค์ และเสื้อผ้าควบคู่ไปกับชอคโกแลตด้วย ชอคโกแลตประเภทนี้จะเรียกว่า "honmei-choco." (แปลว่า ผู้ชนะที่คาดหวังไว้ prospective winner) Honmei-choco จะมีราคาที่แพงกว่า giri-choco และบางครั้งจะเป็นชอคโกแลตทำเอง ซึ่งผู้ชายที่ได้รับนั้นถือว่าโชคดีมาก ชอคโกแลตยี่ห้อดังของญี่ปุ่นได้แก่ Glico, Meiji และ Morinaga แต่ผู้ชายบางคนมักจะพอใจ กับชอคโกแลตทำเอง มากกว่า เพราะมันจะแสดงออกถึงความตั้งใจของคนทำนั่นเอง

การเก็บเนื้อหมู


                     การเก็บเนื้อหมูไว้ให้ใช้ได้นาน ควรเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง แต่เนื้อหมูแข็งๆ ที่เป็นก้อนๆ นั้นตัดแบ่งได้ยากเหลือเกิน หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องรอกันนานกว่าจะหายแข็ง หรือต้องนำไปแช่น้ำให้หายแข็งเร็วขึ้นสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปอีก ดังนั้นเมื่อซื้อเนื้อหมูมาแล้ว ควรล้างให้สะอาด ตัดแบ่งเนื้อหมูเป็นชิ้นย่อยๆ ไว้ตามประเภทอาหารที่จะปรุง หรือตามปริมาณต่อครั้งที่จะใช้ เช่นแบ่งเป็นชิ้นพอสับทำแกงจืดรับประทาน 1 ครั้ง หรือทำลาบหมูรับประทาน 1 ครั้ง จากนั้นนำใส่ในถุงพลาสติก แยกเป็นชิ้นๆจึงนำเข้าแช่ในตู้เย็น เวลาจะใช้ก็นำออกมาทิ้งให้หายแข็งตัวเพียงเท่าจำนวนที่จะใช้ หรือจะแช่น้ำก็แช่ได้ทั้งที่ยังใส่อยู่ในถุงพลาสติก สะดวกง่ายดายจริงๆ
        อ้างอิง   http://www.thaifooddb.com/tips/tips022.html

3 กันยายน 2554

สูตรสาวหน้าใสน้ำผึ้งผสมมะนาว




ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น

หน้าใสด้วยแอปเปิ้ล


- เมื่อรู้สึกตัวว่ามีผิวหน้าอ่อนโรยหน้าไม่ใสอยากให้กลับมาดูสดชื่นหน้า ใส ปิ๊งๆ ก็ให้นำเอาเนื้อแอปเปิ้ลสดๆบดหรือปั่นให้ละเอียดแล้วนำมานวดให้ทั่วใบหน้า และผิวหนังบริเวณลำคอ ทำเป็นประจำอาจจะอิาทิตย์ละ 2-3 ครั้งครั้งละ 15-20นาที หรือทำจนกว่ารู้สึกว่าผิวหน้าใสและสดชื่นขึ้น
- สำหรับสาวผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวแต่อย่างใดแต่อยากให้หน้าใสสด ชื่น ก็ให้นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกก่อนจากนั้นก็นำมาบดแล้วปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันเมล็ดทานตะวัน ( หาซื้อทั่วไป) ประมาน 1 ช้อนชา ตามด้วยแป้งข้าวโพดอีก 1 ช้อนชา แล้วทาลงให้ทั่วใบหน้าเว้นขอบตา ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพียงแค่นี้ก็ได้บำรุงให้หน้าใส
- สำหรับสาวผู้มีผิวพรรณร่วงโรยตามกาลเวลาหรือก่อนเวลาอันควร แล้วอยากรีบบำรุงให้กลับมาเป็นสาวหน้าใสเหมือนเดิมก็ให้ พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล อบ หรือเอาแอปเปิ้ลไปต้มแล้วบดให้ละเอียดนำไปผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำผึ้งหนึ่ง ช้องชา เพื่อทำให้ผิวยึดหยุ่นและชะลอกระบวนการร่วงโรยของผิว
- สำหรับสาวเป็นสิวหรือมีรอยแผลเป็นจากสิวแล้วอยากกลับมาเป็นสาวหน้า ใสเหมือน เดิมก็ให้นำแอปเปิ้ลสีเขียวมาบดผสมกับน้ำผึ้งแท้ๆ ประมาน 1 ช้อนโต๊ะคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า อาจจะทาพอกเน้นบริเวณที่มีรอยแผลเป็น ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออก


4 สิงหาคม 2554

เคล็ดลับตำน้ำพริกกะปิให้อร่อยเลิศ

ตำน้ำพริกกะปิให้อร่อยนะหรือคะ ไม่ยากเลยค่ะ ต้องเริ่มตั้งแต่เลือกซื้อ กะปิ ต้องเป็นกะปิดี หอมไม่หืน กระเทียมที่ใช้ควรเป็นกระเทียมกลีบเล็กค่ะ เพราะจะหอมกว่ากระเทียมเม็ดใหญ่ พริกขี้หนูก็เหมือนกันควรเป็นพริกขี้หนู เม็ดเล็ก ก่อนจะตำให้เอาใบตองมาห่อกะปิไปปิ้งให้หอม จากนั้นเอาไปตำ สูตรใครก็สูตรใครล่ะค่ะ เปรี้ยว หวาน เค็ม ตามรสนิยม ถ้าอยากให้น้ำพริก ดูมีเนื้อข้น แนะนำให้ใส่กุ้งแห้งลงไปตำด้วย เคยลองใช้น้ำส้มคั้นผสมลงไปด้วย ให้รสหวานอมเปรี้ยวกลมกล่อม อร่อยไม่ใช่เล่นเลยล่ะ ไม่เชื่อต้องลองดู
อ้างอิง  http://www.the-than.com/saranalu/KP/a48.html

เคล็ดลับการแก้ปัญหาเหน็บชา

คุณเคยเป็นเหน็บชาไหม? ถ้าเคย คุณใช้วิธีอะไรในการแก้เหน็บชา วันนี้เรามีวิธีเด็ดๆในการแก้เหน็บชาเมื่อคุณเป็นเหน็บชาเมื่อนั่งท่าเดิมนานๆ หรือ นั่งสมาธินาน(สำหรับมือใหม่) คุณก็มักจะเป็นเหน็บชาเราขอแนะนำท่านว่า เมื่อเป็นเหน็บชาให้คุณหากระดาษทิชชูหรือกระดาษ เสียบไว้ที่นิ้วเท้าระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วที่ถัดไป สักครู่คุณจะรู้สึกดีขึ้นราวกับปาฎิหาริย์ ( OVER เล็กน้อย)  อาการจะดีขึ้นจนกระทั่งหาย ดีกว่าที่คุณจะปล่อยไว้เฉยๆให้ทรมานตัวเอง
อ้างอิง http://likitdee.tripod.com/aboutus/likitdee11.htm

เคล็ดลับการรักษาเบื้องต้นเมื่อถูกน้ำร้อนหรือน้ำมันร้อนๆลวก

คุณคงจะเคยถูกของร้อนๆลวก เช่น น้ำร้อน,น้ำมันร้อน ฯลฯ เมื่อคุณถูกลวกแล้ว คุณจะทำอย่างไร?
อาการถูกของลวก ถ้าไม่รักษาให้ดี แผลก็จะพุพองและเป็นแผลเป็นได้ ดังนั้นกระผมมีความหวังดี
อย่างสุดซึ้ง จึงสัญหาวิธีในการรักษาเบื้องต้นเมื่อถูกน้ำร้อนลวก ไปอ่านกันเลยครับเมื่อคุณถูกน้ำร้อนลวก ให้ฝานมะนาวถูบริเวณที่โดนลวก ผิวหนังบริเวณที่โดนน้ำร้อนหรือน้ำมันลวกจะไม่พุพองและเป็นแผล วิธีนี้ง่ายและได้ผลจริง (ลองพิสูจน์ได้ครับ)
อ้างอิง  http://likitdee.tripod.com/aboutus/likitdee11.htm

27 กรกฎาคม 2554

วิธีที่จะทำให้เก่งภาษาอังกฤษ How to Excel in English (Master Jonathan's tactics)


A lot of Thai students especially English admirers, would like to know "how to be good at English". According to Joseph Bellafiore, a veteran American linguist, the best way to excel of English is to try to enrich your word power. "The more vocabularies you gain, the better English learner you are," says Bellafiore.
เด็กนักเรียนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชอบภาษาอังกฤษล้วนอยากจะทราบ "วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง" กันทั้งนั้น โจเซฟ เบลลาฟิโอเร นักภาษาศาสตร์อเมริกันผู้เชียวชาญ กล่าวไว้ว่า วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งก็คือ จงพยายามเสริมสร้างความรู้ในเรื่องศัพท์ "ยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผู้เรียนภาษาอังกฤษยิ่งขึ้นเท่านั้น" เบลลาฟิโอเรกล่าว

Wide reading of books, newspapers and magazines gives you a great leap forward to increase your command of words. Since you're interested in getting better marks in English exams, landing a good job in the near future and becoming a person who can speak English fluently, you must start now!
To start with, there are six ways to a better vocabulary :
การอ่านมาก ทั้งหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารจะทำให้เราก้าวไกลมากในการเพิ่มพูนเสริมสร้างการใช้ศัพท์ ในเมื่อเราสนใจอยากได้คะแนนสอบภาษาอังกฤษสูงๆ อยากได้งานดีๆ ในอนาคตอันใกล้ และอยากเป็นคนที่สามารถพูดอังกฤษคล่อง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นทีเดียว ก็มีอยู่ 6 วิธีด้วยกันในอันที่จะทำให้เก่งศัพท์ยิ่งขึ้น

1. Experience : ประสบการณ์
You have to widen your range of experience by firsthand contact with English-speaking people. In a nutshell, you have to try to converse with English speakers-on whatevertopics-whenever you have a chance. Life is the greatest teacher of words and everything else.
เราควรเสริมสร้างเราควรจะเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีอยู่ด้วยการติดต่อสื่อสารโดยตรงกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ คือ พูดง่ายๆ เราควรจะพยายามสนทนากับคนที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีโอกาสชีวิตคือครูคำศัพท์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

2. Reading : การอ่าน
You must develop your habit of reading English books, newspaper and magazines based o­n interests, hobby, vocation , etc. Reading is o­ne of the chef tools in broadening your background.
เราต้องพัฒนานิสัยในการอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษบนพื้นฐานของความสนใจ งานอดิเรก อาชีพ เป็นต้น การอ่านถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักๆ ที่จะเสริมสร้างภูมิหลังให้แก่เรา

3. Dictionary : พจนานุกรม
You should get better acquainted with the contents and arrangements of words in the dictionary. The dictionary is a "must" for every English learner.
เราควรจะทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาสาระและการเรียงร้อย คำในพจนานุกรมให้ดียิ่งขึ้น พจนานุกรมนั้น "จำเป็น" สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ

4. Notebook : สมุดบันทึก
After collecting words, you are to keep a neat record of new words in your
notebook. If possible, you should copy the phrase of sentence to illustrate its actual use. And don't forget to check the meaning of every word or sentence you copy.
หลังจากรวบรวมคำศัพท์ เราต้องจดบันทึกคำศัพท์ใหม่ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบในสมุดบันทึกของเราหากเป็นไปได้ให้คัดลอกวลีหรือประโยคที่แสดงถึงวิธีใช้และอย่าลืมตรวจดูความหมายของทุกคำ


5. Word-families or roots : ตระกูลศัพท์หรือรากศัพท์
You should have to study t groups of words that are related in structure and meaning because of prefixes , roots and suffixes. Latin and Greek parents have given us thousand of words in English.
เราต้องศึกษาหมวดหมู่ของคำศัพท์ต่างๆ ที่สัมพันธ์กันในโครงสร้างและความหมายอันเนื่องจากคำเติมหน้า (อุปสรรค) รากศัพท์ และคำต่อท้าย (อาคม) ตระกูลศัพท์ที่มาจากภาษาลาตินและกรีกนั้นได้ให้ศัพท์ในภาษาอังกฤษแก่เรานับพันๆ คำ


6. Word-games : เกมคำศัพท์
Just for fun , if you can become a crossword puzzle fan and solve other games that appear in newspapers, magazines, quiz books , etc.
All in all, you have to read , write and speak English as much as you can, in an attempt to excel in English.
เพื่อความสนุก หากเราสามารถจะเป็นแฟนเกมปริศนาอักษรไขว้ และไขเกมคำศัพท์อื่นๆ ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเกมปริศนา เป็นต้น
ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจะต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในความพยายามที่จะทำให้เก่งอังกฤษ

วิธีพูดภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่ง ในสไตล์ของ แอนดรูว์ บิ๊กส์
กฎง่ายๆ10ข้อ(แถมอีก1ข้อ)สำหรับคนไทย เพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้(เหมือนที่ฝรั่งพูด)
ทำไมต้องเหมือนที่ฝรั่งพูด
ตัวอย่างที่คนไทยพูด เช่นเมื่อครูเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนจะลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า"Good morning" ครูจะตอบว่า"Good morning"
นักเรียนพูดต่อว่า"How are you" ครูตอบว่า"Fine thanks,And you"
นักเรียนทุกคนตอบว่า "Fine thanks." แล้วนั่งลง
ทั้งหมดข้งบนนั้น ฝรั่งอย่างแอนดรูว์ บิ๊กส์ บอกว่า นอกจากเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษแบบนี้ในโลก
ที่สหรัฐอเมริกา ถ้าจะถามว่า"คุณสบายดีไหม" เขาใช้ประโยคนี้"How are you doing?"คนอังกฤษใช้คำว่า"How are you going?"
ดังนั้น เขาจึงสรุปให้เรารู้ว่า ภาษาอังกฤษที่คุณเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่คุณเจอในชีวิตจริง แอนดรูว์ บิ๊กส์ ใช้ประสบการณ์ของตัวเอง
ตั้งกฎขึ้นมา 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) เพื่อมาแนะนำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษเหมือนที่ฝรั่งพูด

ในกฎแต่ละข้อ มีคำแนะนำ เหตุผลพร้อมตัวอย่างนำมาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และหยิกคนไทยได้แสบๆคันๆพอสมควร

กฎ 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) ของแอนดรูว์ บิ๊กส์ มีดังนี้

1.RULE NUMBER o­nE - FORGET THE RULES(ลืมกฎซะเถอะ)
การพูด ไม่ใช่การเขียน ถ้าคุณจดจ่ออยู่กับเรื่องไวยากรณ์มากเกินไป คุณจะลืมเรื่องอื่นไปทันที การพูดคือ การสื่อสาร ดังนั้น กฎข้อแรกคือ ให้ลืมกฎ แล้วพูดไปเลย อ้าว!ถ้าพูดผิดล่ะ ก็ต้องอ่านกฎข้อ 2
2.RULE NUMBER TWO - MAKE MISTAKES(จงพูดผิด)
การพูดผิดคือบทเรียนที่เยี่ยมมาก ควรจะทำบ่อย และปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เมื่อฝรั่งฟังใครพูดผิด เขามักจะแก้ให้ทันที เหมือนกับคนไทย เมื่อได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยผิด ก็จะบอกคำที่ถูกให้ ถ้าคำที่พูดผิดมันชวนขำ ใครก็ต้องหัวเราะ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่การหัวเราะเยาะ มันแค่ขำเท่านั้น คุณควรจะหัวเราะตามไป ครั้งต่อไปคุณจะจดจำได้และไม่พูดผิดอีกเลย
3.RULE NUMBER THREE - DON'T TRANSLATE(ห้ามแปลตรงตัว)
เมื่อคุณพูดภาษาไทย คุณคิดเป็นภาษาไทย เมื่อคุณพูดอังกฤษ ให้คิดเป็นอังกฤษ แต่ถ้ากลัวว่าทำอย่างนั้นแล้วจะพูดผิด ให้กลับไปอ่านกฎข้อ 2 ในเรื่องนี้ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ยกตัวอย่าง 9 อันดับของการใช้ภาษาอังกฤษยอดแย่ของค่ายเทปชื่อดังมาให้ดูด้วย อย่างเช่น BLACK HEAD มันแปลว่า "สิวหัวดำ" น่ะ คุณเคยรู้บ้างไหม
4.RULE NUMBER FOUR - KEEP IT SIMPLE(ใช้ภาษาแบบง่ายๆ)
จุดประสงค์การพูดคือ ต้องการสื่อความหมายให้เข้าใจกัน เพราะฉนั้น ต้องใช้ศัพท์ที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย ยิ่งง่ายยิ่งดีครับ
5.RULE NUMBER FIVE - COULD YOU PLEASE SLOW DOWN?(กรุณาพูดช้าๆหน่อย)
เป็นเรื่องจริงที่ว่า ฝรั่งบางคนพูดเร็ว บางคนพูดไม่ชัดอีกต่างหาก ปัญหานี้ควรทำอย่างไร ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจเลยครับ
"Excuse me. Could you please slow down?"
ข้อสังเกตในการออกเสียง โปรดระวัง ถ้าไม่ชัดเจน ฝรั่งจะฟังเป็น Kiss me ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แย่เลย
วิธีง่ายๆ ให้นึกถึงตัว X กับตัว Q ก็จะได้ X-Q-SMEE = Excuse me ออกเสียงตอนสุดท้ายเป็น "หมี" และ"ด๋าว"
6.RULE NUMBER SIX - LELAX(ทำตัวสบายๆ)
หายใจให้ลึก แล้วนึกว่าตัวเองลอยได้และยิ้ม เมื่อร่างกายของคุณรู้สึกสบาย คุณจะพูดได้คล่อง คิดได้ง่าย
7.RULE NUMBER SEVEN - LISTEN AND COPY(ฟังแล้วเลียนแบบ)
เปิดหูให้กว้าง ฟังวิธีที่ฝรั่งออกเสียงคำแต่ละคำ เช่น Island ที่แปลว่า "เกาะ" มีตัว s แต่ฝรั่งไม่ออกเสียง คนไทย 90.5 % ชอบออกเสียง s ในคำนี้ ซึ่งผิด ที่ถูกต้องออกเสียงว่า "ไอ-แลนด์"
8.RULE NUMBER EIGHT - GUESS(เดา)
ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจทุกคำที่คุณได้ยินในภาษาอังกฤษ ฟังเพียงคำสำคัญๆในแต่ละประโยค เพื่อจับประเด็นหลักก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือมักจะเป็นคำสั้นๆหยุมๆหยิมๆที่ไม่ค่อยมีความหมายมากนัก เราสามารถเดาได้
ถ้าหากจะถามว่า "แล้วเมื่อไรจะเก่งพอที่จะเข้าใจได้ทุกคำเสียที่ล่ะ" คำตอบอยู่ที่กฎข้อต่อไป
9.RULE NUMBER NINE - GIVE YOURSELF TIME(ต้องให้เวลากับตัวเอง)
อย่าท้อใจเด็ดขาด อย่าแม้แต่คิด คุณต้องยอมให้ภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ และใช้มันทุกวัน ถ้าชอบวิทยุก็ฟังวิทยุ ถ้าชอบดูหนังก็ดูหนังดูทีวี ครั้งแรกอาจเข้าใจไม่เกิน 10 % ต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเช้าคุณควรยืนหน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเอง ส่งยิ้มไปพร้อมพูดว่า
"I'm getting better and better at English" วันละ 5 ครั้ง พูดเหมือนว่าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
10.RULE NUMBER TEN - READ READ READ(อ่าน อ่าน และอ่าน)
การอ่านเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณอยากอ่าน ไม่ใช่ถูกบังคับให้อ่าน ชอบแฟชั่น ชอบกีฬา ชอบทำอาหาร เลือกอ่านในสิ่งที่เราชอบ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ จะมีบางส่วนที่เราชื่นชอบอยู่ด้วยแน่นอน เมื่อคุณอ่าน ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมทุกครั้งที่เจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ให้อ่านทั้งวลี ทั้งประโยค หรือย่อหน้า แล้วลองเดาความหมายดู แต่เมื่อเจอคำศัพท์ยากนั้นบ่อยครั้งขึ้น อนุญาตให้เปิดพจนานุกรมได้
11.แถมอีกกฎหนึ่ง - FIND A FOREIGN FRIEND(หาเพื่อนฝรั่ง)
ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นฝรั่ง คุณสามารถฝึกหัดภาษาอังกฤษได้ทุกวัน ใช้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนฝรั่ง คุณเสียแค่ 3 บาทเท่านั้น และคุณยังจะได้เข้าใจวัฒนธรรมของคนต่างชาติดียิ่งขึ้นอีกด้วย จากการที่มีเพื่อน ที่ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน
อ้างอิง http://blog.eduzones.com/noknik15clab/33089

25 กรกฎาคม 2554

เคล็ดลับ การเรียนเก่ง

1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ
 เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกันให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับเพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองได้อย่างดีเยี่ยมและจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ คะเช่นตั้งไว้ว่า วันหนึ่ง เราจะ อ่านซัก
1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับแต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างหนึ่งแล้วต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ
3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรครับอย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาทีและพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันหนึ่ง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับสรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ
          ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดีให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1
เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ
อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับเวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้างเช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า  Where do you go ? อะไรเป็นต้นแล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งทีก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ
ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับแบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับจากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อนจากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มหนึ่งมาอ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมดสำคัญคือความตั้งใจนะครับต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้วทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิดสุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่าต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่าบรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้นมองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมดเมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมาในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบทเช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ
8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่ คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่ากำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหม่นี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิกนั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา
เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัฒนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆเพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไรต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว
ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมองโดยทำดังต่อไปนี้ค่ะ
   - ให้นึก  โน้ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์
นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง
จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที
กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตย์จนเลิกนึกนี่คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะครับใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเองเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ไหม
ทักษะในการทำข้อสอบ มีไหมเข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่าก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียนเช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาสตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้นแน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมากอ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ
ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด
อ้างอิง http://blog.eduzones.com/noknik15clab/33085

21 กรกฎาคม 2554

สาระน่ารู้ | เคล็ดลับ : วิธีเลือกซื้อผักสด

 การรับประทานผักสดมีประโยชน์ต่อร่างกาย วันนี้มีวิธีเลือกซื้อผักสดไว้รับประทานมาบอกกัน...
     ผักสด เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ คือ เป็นอาหารที่ให้ วิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และการรักษาสมดุล ของร่างกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เจริญเติบโต มีระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายที่ดี
  อย่างไรก็ตาม ผักสดอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ ถ้าหากผักสดมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค พยาธิ และสารเคมีที่เป็นอันตราย การเลือกซื้อผักสด
   1. ควรเลือกซื้อผักสดที่สะอาด ไม่มีคราบดิน หรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรู พืช หรือเชื้อราตามใบ ซอกใบ หรือก้านผัก
   2. เลือกซื้อผักสดที่มีรูพรุน เป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้าง ไม่ควรเลือก ซื้อผักที่มีใบสวยงาม เพราะถ้าหากว่าหนอนกัด เจาะผักได้ แสดงว่า มีสารพิษ กำจัดศัตรูพืชในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายมาก
   3. เลือกซื้อผักสดอนามัย หรือผักกางมุ้ง ตามโครงการพิเศษของกรมวิชาการ เกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
     ถ้าจะเลือกซื้อผักสดครั้งหน้า อย่าลืมเลือกซื้ออย่างถูกวิธี จะได้มีผักสดที่ปลอดภัยไว้รับประทาน.
อ้างอิง http://www.ezythaicooking.com/food_and_drink_information/how_to_choose_fresh_vegetables.html

สาระน่ารู้ | เคล็ดลับ : สมุนไพรช่วยลดความดัน

ทราบหรือไม่ว่า สมุนไพรพื้นบ้านก็สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้. . .
  - กระเทียม ซอยกระเทียมสดประมาณครึ่งช้อนชา กินพร้อมอาหารวันละ 2-3 ครั้งหรือจะใช้วิธีเคี้ยวกระเทียมสด ๆ ก็ได้ อย่ากินตอนท้องว่าง เพราะฤทธิ์ร้อนของกระเทียมจะทำให้แสบกระเพาะได้
  - ขึ้นฉ่าย เลือกต้นสดมาตำ คั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือใช้ต้นสด 1-2 กำมือ ตำให้ละเอียดต้มกับน้ำ แล้วกรองเอากากออก ใช้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร หรือกินเป็นผักสดผสมในอาหารก็ได้
  - กาฝากมะม่วง ใช้กาฝากของต้นมะม่วง นำมาตากแห้งต้มน้ำดื่มต่างน้ำชาหรือตากแห้งคั่วแล้วชงดื่ม ในบางท้องถิ่นให้ใช้กาฝากสดนำใบและกิ่ง 1 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม
  - กระเจี๊ยบแดง ใช้กลีบเลี้ยงแห้ง ต้มน้ำหรือชงน้ำร้อนกินเป็นชากระเจี๊ยบ ช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอลได้ แก้นิ่ว และลดไข้
  - บัวบก ในตำรายาไทยทั่วไปใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน แต่มีตำรายาพื้นบ้านที่นำมาใช้ลดความดันโลหิตสูง โดยใช้ต้นสด 1 หรือ 2 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ ที่ใช้ปรุงอาหารเป็นประจำและมีสรรพคุณช่วยลดความดันได้ เช่น ขิง ขี้เหล็ก ผักชี ผักชีฝรั่ง มะขาม แมงลัก เป็นต้น 
อ้างอิง http://www.ezythaicooking.com/food_and_drink_informationai_herb_reduce_blood_pressure.html
/th

สาระน่ารู้ | เคล็ดลับ : ประโยชน์ของส้ม

ทราบหรือไม่ว่า การกินส้มให้ประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้มีประโยชน์ของส้มมาฝากกัน....
     จากรายงานการศึกษาของหลายชาติ เรื่องการบริโภคผลไม้จำพวกมะนาว หรือส้ม ให้ประโยชน์แก่สุขภาพ สรุปได้ว่า "กินส้มวันละใบ จะช่วยผลักไสโรคมะเร็งบางชนิดให้พ้นตัวไปได้"
   นักวิจัยขององค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของรัฐบาลออสเตรเลีย ระบุว่า การกินผลไม้พวกมะนาวหรือส้ม จะช่วยป้องกันมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง และยิ่งกินผักผลไม้วันละ 5 มื้ออยู่เป็นประจำแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ป้องกันอัมพาตได้อีกโรคถึง 19 เปอร์เซ็นต์ด้วย
   ผลไม้จำพวกมะนาวหรือส้ม ช่วยป้องกันโรคของร่างกายได้เพราะคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษของมัน พร้อมทั้งบำรุงระบบภูมิ คุ้มโรคให้แข็งแรง ขัดขวางเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม และรักษาเซลล์เนื้อร้ายให้กลับคืนดีได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง ลองหาส้มมากินกันดีกว่า
อ้างอิง http://www.ezythaicooking.com/food_and_drink_information/orange_and_lemon.html
 

สาระน่ารู้ | เคล็ดลับ : วิธีขจัดคราบน้ำชา

ใครที่ประสบกับปัญหาคราบน้ำชาติดแก้ว ล้างเท่าไหร่ก็ไม่ออก วันนี้มีวิธีมาบอก...
     เมื่อถ้วยน้ำชาถูกเทไว้เป็นเวลานาน ๆ แล้ว มักจะมีคราบน้ำชาติดอยู่จนล้างไม่ออก วิธีขจัดคราบ คือ ให้นำผงคลอรีน 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำครึ่งลิตร จากนั้นนำถ้วยน้ำชาลงไปแช่ เพียงเท่านี้คราบน้ำชาที่ติดอยู่ก็จะหลุดออกไปจนหมด
  จากนั้นก็นำถ้วยน้ำชาไปล้างทำความสะอาดตามปกติ ถ้าอยากขจัดคราบน้ำชาให้หมด ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

สาระน่ารู้ | เคล็ดลับ : การล้างผักสดให้ปลอดภัย

สาระน่ารู้ | เคล็ดลับ : การล้างผักสดให้ปลอดภัย
การบริโภคผักสดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ควรระมัดระวังว่าผักสดอาจมีสารพิษตกค้างได้ วันนี้มีวิธีล้างผักสดให้ปลอดภัยมาบอก...
  1. ปอกเปลือกหรือลอกเปลือกชั้นนอกของผักสดออก แกะเป็นกลีบ หรือแกะใบออกจากต้น
  2. ล้างผักสดด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง และคลี่ถูใบ หรือล้างด้วยการใช้น้ำก็อกไหลผ่าน ผักสดนานอย่างน้อย 2 นาที หรือใช้สารละลายในการล้าง ดังนี้
    - ใช้น้ำยาล้างผัก (ตามวิธีที่ผู้ผลิตแนะนำ) หรือ
    - ใช้น้ำคลอรีน (ผงปูนคลอรีน ครึ่งช้อนชา ต่อน้ำ 20 ลิตร) หรือ
    - ใช้น้ำเกลือ (เกลือ 2 ช้อนโต๊ะพูน ต่อน้ำ 4 ลิตร) หรือ
    - ใช้น้ำโซดา (โซเดียมไปคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร) หรือ
    - ใช้น้ำส้มสายชู (น้ำส้มสายชู ครึ่งถ้วย ต่อน้ำ 4 ลิตร)
     ให้เลือกวิธีที่สะดวกอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจึงนำผักสดมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ก็สามารถลดหรือขจัดสารพิษออกจากผักสดได้
     ใครที่อยากบริโภคผักสด สะอาดและปลอดภัย ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

สาระน่ารู้ | เคล็ดลับ: สารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการ

ใครที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง วันนี้มีสารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการมาบอกกัน...
  1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว โดยใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมาก เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือในปริมาณน้อย
  2. นม ควรดื่ม นำนมถั่วเหลืองทดแทน
  3. เซลล์มะเร็ง เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์ มีแบคทีเรีย ใช้โฮโมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง
  4. 80% ของผักและนำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน
  5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ช็อกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง เป็นดื่มชาเขียวที่มี สารต้านมะเร็ง ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปา และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีสภาพเป็นกรด
  6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง
  7. เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น
  8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น วิตามินอี วิตามินซี
  9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรัก และให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต
  10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ ออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง

วิธีลดความเครียด แบบง่ายๆ (เกร็ดความรู้)

    คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง
    คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วนสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ
    คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์
    คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น
    คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม